ลิลิตตะเลงพ่าย
ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ประเภทลิลิต ประพันธ์ขึ้นโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสและ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในวาระงานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ที่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยตะเลงในที่นี้หมายถึง มอญมีอยู่ ๒ ฉบับ คือ
ลิลิตตะเลงพ่าย ฉบับร้อยกรอง
ลิลิตตะเลงพ่าย ฉบับร้อยแก้ว
ในแต่ละฉบับแบ่งออกเป็น ๑๒ ตอน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์ร่วมกับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ (พระองค์เจ้ากปิษฐาขัตติยกุมาร)
ประวัติลิลิตตะเลงพ่าย
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทรฺ และเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและเจ้าจอมมารดาจุ้ย
พระองค์เจ้าวาสุกรี ประสูติ ณ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น 5 ค่ำ ปีจอ จุลศักราช 1152 ตรงกับวันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2333 เมื่อมีพระชันษาได้ 12 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตุพน และทรงศึกษาอยู่ในสำนักของสมเด็จพระวันรัต พระองค์ได้ผนวชเป็นพระภิกษุในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และในรัชกาลนี้ได้โปรดให้พระองค์เจ้าวาสุกรีได้ทรงกรมเป็นครั้งแรก เป็น "กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัติยวงศ์" ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้กรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯทรงบังคับัญชาวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯเสมอพระราชาคณะ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนกรมหมื่นนุชิตชิโนรสฯ เป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสศรีสุคตขัติยวงศ์บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถ ปฐมพันธุมหาชวรางกูร
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น 9 ค่ำ ตรงกับวันที่ 9 ธันวาคม พุทธศักราช 2396 พระชนมายุได้ 63 พรรษา 4 วัน และในฐานะที่ทรงเป็นประมุขที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศรัทธามาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศพจากวัดพระเชตุพนไปประดิษฐาน ณ พระเมรุที่ท้องสนามหลวง แล้วพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันเสาร์ที่ 8 เมษายน ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2397 เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพะจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานไว้ที่พระตำหนักวัดพระเชตุพน และโปรดให้มีตำแหน่งฐานานุกรมรักษาพระอัฐิต่อมา ถึงเวลาเข้าพรรษา พระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี เมื่อถึงวันเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐินที่วัดพระเชตุพน ก็โปรดฯ ให้เชิญพระอัฐิไปประดิษฐานที่ในพระอุโบสถ ทรงสักการะบูชาแล้วผ้าไตรปี โปรดฯ ให้พระฐานานุกรมพระอัฐิสดับปกรณ์เป็นประเพณีเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน ถึงรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสขึ้นเป็น "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส"
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นอกจากจะทรงพระเกียรติคุณในทางคติธรรมแล้ว ยังทรงพระเกียรติคุณในทางคดีโลกด้วย คือ ได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็นรัตนกวีพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์
คำประพันธ์ที่ทรงใช้ในการนิพนธ์ เรียกว่า ลิลิต เป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ โคลงที่ใช้มีทั้ง โคลง 2 โคลง 3 และโคลง 4 ตอนท้ายเป็นโคลงกระทู้ซึ่งเป็นลักษณะคำประพันธ์ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิยมใช้ในการนิพนธ์ปิดท้ายวรรณคดีที่ทรงนิพนธ์เกือบทุกเรื่อง
ลักษณะการแต่ง
แต่งด้วยลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไป จำนวน ๔๓๙ บท โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่ายที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาพย์ จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์
คำประพันธ์ที่ใช้แต่ง
เรื่องลิลิตตะเลงพ่ายแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภท ร่ายสุภาพ โคลงสี่สุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสองสุภาพ
ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบทหนึ่งมีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป และตอนท้ายต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพ ร่ายสุภาพแต่ละวรรคกำหนดให้มี 5 คำ เมื่อรวมกับโคลงสองสุภาพแล้วจะได้แผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ฯลฯ
๐ ๐ ๐ ๐ (ต่อไปเป็นโคลงสองสุภาพ) ๐ ๐ ๐ อ ท ๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สำหรับสัมผัสบังคับของร่ายสุภาพ กำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ 1 หรือที่ 2 หรือที่ 3 เพียงดำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไป การส่งสัมผัสเป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งจบด้วยโคลงสองสุภาพ ส่วนสัมผัสในซึ่งเป็นสัมผัสที่ไม่บังคับในร่ายสุภาพใช้ไดทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ แต่นิยมสัมผัสพยัญชนะมากกว่า
ตัวอย่างร่ายสุภาพ.............
เสร็จเสาวนีย์สั่งสนม เนืองบังคมคำราช พระบาทบทันนิทรา จวนเวลาล่วงสาง พื้นนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า แสงทองจ้าจับเมฆ........ฯลฯ..........ขอลาองค์ท่านไท้ ไปเผด็จดัสกรให้ เหือดเสี้ยนศึกสยาม สิ้นนา
โคลงสามสุภาพ
โคลงสามสุภาพบทหนึ่งมี 4 วรรค ๆ ละ 5 คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายซึ่งมี 4 คำ และมีคำสร้อยตอนท้ายอีก 2 คำ ดังแผนผังโคลงสามสุภาพดังนี้
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ ๐ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สัมผัสโคลงสามสุภาพกำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำที่ 3 ของวรรคที่ 2 และคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ 3
ตัวอย่างโคลงสามสุภาพ........... ล่วงลุด่านเจดีย์ สามองค์มีแห่งหั้น
แดนต่อแดนกันนั้น เพื่อรู้ราวทาง
ลักษณะบังคับของโคลงสองสุภาพ
โคลงสองสุภาพบทหนึ่งมี 3 วรรค ๆ หนึ่งมี 5 คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายมีเพียง 4 คำ ในตอนท้ายมีคำสร้อยได้ 2 คำ ดังแผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ อ ท ๐ อ ๐ ๐ ท
อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
สัมผัสของโคลงสองสุภาพมีเพียงแห่งเดียว คือคำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ 2
ตัวอย่างโคลงสองสุภาพ........ พระฟังความลูกท้าว ลาเสด็จศึกด้าว
ดั่งเบื้องบรรหาร
ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี 4 บาท แต่ละบาทประกอบด้วย 2 วรรค คือ วรรคหน้า 5 คำ วรรหลัง 2 คำ ยกเว้นบาทที่ 4 ที่มีวรรคหลัง 4 คำ นอกจากนี้ในบาทที่ 1 และบาทที่ 3 อาจมีสร้อยคำได้อีกบาทละ 2 คำ ดังแผนผังดังนี้
๐ ๐ ๐ อ ท ๐ ๐ (๐ ๐)
๐ อ ๐ ๐ ๐ อ ท
๐ ๐ อ ๐ ๐ ๐ อ (๐ ๐)
๐ อ ๐ ๐ ท อ ท ๐ ๐
โคลงสี่สุภาพบังคับคำเอก 7 คำ คำโท 4 คำ โดยถือรูปวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์ และคำเอกอาจใช้คำตายแทนได้ สัมผัสโคลงสี่สุภาพได้แก่ คำสุดท้ายของบาทที่ 1(ไม่นับคำสร้อย) ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 5 ของบาทที่ 2 และบาทที่ 3 คำสุดท้ายของบาทที่ 2 ส่งสัมผัสไปยังคำที่ 5 ของบาทที่ 4 ส่วนสัมผัสในของโคลงสี่สุภาพนิยมสัมผัสอักษร
ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ........ กระเต็นกระตั้วตื่น แตกคน
ยูงย่องยอดยูงยล โยกย้าย
นกเปล้านกปลีปน ปลอมแปลก กันนา
คล่ำคล่ำคลิ้งโคลงคล้าย คู่เคล้าคลอเคลีย